เมื่อกล่าวถึง eCommerce Platform ที่เป็น open source software ส่วนใหญ่ที่มีให้เลือกใช้งานในปัจจุบันมีคุณสมบัติที่คล้ายกันและมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่มากมาย ซึ่งมุ่งเน้นที่จะช่วยให้เราสามารถปรับแต่งเว็บ eCommerce ได้ตามที่เราต้องการ รวมถึงอีกหนึ่งคุณสมบัติที่จำเป็นคือต้องทำให้หน้าสินค้าในเว็บ eCommerce มีความเหมาะสมกับ Search Engine อย่าง Google ด้วย แต่การจะพิจารณาว่าฟังก์ชันเรื่อง SEO ที่มีมาให้ในแต่ละ platform นั้น จริงๆแล้วเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายๆประการเช่น การออกแบบ workflow การใช้งานหรือ UX design, ความเร็วในการดาวน์โหลดหน้าเว็บ, การออกแบบและติดตั้ง meta tag ไว้อย่างเหมาะสมในหน้าเว็บ ฯลฯ ดังนั้นการจะเลือกแพลตฟอร์มให้เหมาะสมที่สุดกับเว็บ eCommerce ของเรานั้น เราจึงคำนึงถึงแพลตฟอร์มที่รองรับการทำงานได้ดีกับทุกสิ่งที่กล่าวมาด้วย
และถึงแม้ว่าจะมี eCommerce platform ที่ได้รับความนิยมมากมาย ไม่ว่าจะ WooCommerce, Shopify, 3DCart, Big Commerce, Magento และแพลตฟอร์มสำหรับการพัฒนาเว็บ eCommerce อื่น ๆ แต่ Magento คือ หนึ่งในแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสำหรับธุรกิจขนาดกลางไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ที่รองรับการจัดหน้าร้านแบบมีหลายสโตร์ เช่น แยกหน้าร้านตามแบรนด์ของสินค้า หรือการมีหลายสาขาเพื่อแยกภาษาและสกุลเงินให้เหมาะกับลูกค้าในแต่ละภูมิภาคหรือประเทศ ในแง่ของสถาปัตยกรรม Magento นั้นมีฟังก์ชันที่ครบถ้วนรองรับการขยายตัวของธุรกิจได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีความคล้ายกันกับ WooCommerce มากที่สุด มีธีมและ extension ที่เราสามารถกำหนดเลือกใช้งานได้เองเยอะมาก ซึ่งทำให้เราสามารถปรับแต่งเว็บ eCommerce ของเราให้เข้ากับความต้องการทางธุรกิจได้เกือบทุกประเภทและมีคุณสมบัติอีกมากมายที่มีประโยชน์สำหรับร้านค้าทุกประเภท รวมถึงคุณสมบัติที่รองรับการขยายตัวของธุรกิจได้อย่างน่าทึ่งอีกด้วย และอีกหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่เราเลือกใช้ Magento เพราะความสามารถในการผสานรวมเข้ากับซอฟต์แวร์ธุรกิจได้อย่างมากมาย อาทิเช่น การจัดส่งสินค้า, การเติมสินค้าเข้าคลัง, ระบบบัญชี และซอฟต์แวร์ของ third party อื่น ๆ ที่สามารถรวมเข้ากับหน้าร้านดิจิทัล (Digital Store fronts) โดยใช้ Magento ได้อย่างง่ายดาย และ Magento ยังมีระบบอัตโนมัติขั้นสูงสำหรับการจัดการโปรโมชั่นที่ซับซ้อนและกรณีการใช้งานอื่น ๆ ได้แทบทุกประเภทโดยที่ eCommerce platform อื่น ๆ ไม่สามารถทำได้
เพราะ Magento เป็นแพลตฟอร์มที่ไม่ได้ใช้งานได้ง่าย ๆ เลย ยิ่งถ้าคุณเป็นมือใหม่หรือคุณยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการวางแผนเพื่อสร้างเว็บ eCommerce ด้วย Magento มาก่อน ขอให้ข้าม Magento ไปได้เลย เพราะมันมีความความยุ่งยากซับซ้อนมากพอสมควรสำหรับการจัดการทรัพยากรระบบเพื่อให้ Magento ทำงานได้สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจ ซึ่งแต่ละธุรกิจก็มีความเฉพาะที่ไม่เหมือนกัน และอีกเหตุผลก็คือ “งบประมาณ” : เพราะการจะสร้างเว็บ eCommerce ด้วย Magento ให้ได้ประสิทธิภาพที่สูงนั้น จัดว่าต้องใช้งบประมาณที่ไม่น้อยเลยทีเดียว หากคุณต้องการเว็บ eCommerce ที่มีประสิทธิภาพสูง คุณก็ต้องอาศัยทักษะ ความเชี่ยวชาญระดับสูงของนักออกแบบและนักพัฒนาเว็บ eCommerce ด้วย Magento ด้วยเช่นกัน
แล้วทำไมเรายังเลือกใช้ Magento? หนึ่งเหตุผลสำคัญคือ Magento มีความยืดหยุ่นสูง สามารถนำไปเชื่อมข้อมูลกับระบบอื่นๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ เช่น ระบบหลังบ้านของธุรกิจไม่ว่าจะเป็น ERP, CRM, Warehouse Management รวมถึง Fulfilment ของ Third party
แต่เรื่องที่คุณควรต้องคำนึงถึงสิ่งแรกเลย คือ คุณจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจในขั้นตอนและกระบวนการทำงาน (Workflow) รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ซึ่งกระบวนการและข้อมูลเหล่านี้จะต้องถูกนำไปตั้งค่าไว้ใน Magento ซึ่งระบบการตั้งค่าของ Magento ก็ค่อนข้างจะเฉพาะเจาะจงมาก ข้อมูลจะถูกกำหนดด้วยคุณสมบัติ รูปแบบ และข้อมูลสำคัญอื่น ๆ นอกจากนี้คุณยังต้องรู้ลึกลงไปอีกว่าจะบริหารจัดการกระบวนการของคำสั่งซื้อ (Order Workflow) ใน Magento ว่าเป็นอย่างไร เพื่อให้คุณสามารถปรับแต่งกระบวนการคำสั่งซื้อให้สามารถสร้างสถานะและแสดงผลออกมาในแบบที่ธุรกิจต้องการได้ เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่คุณจะต้องจัดการอย่างพิถีพิถัน เพราะมันค่อนข้างที่จะละเอียดและซับซ้อนมากเลยนะ และคุณยังต้องคำนึงด้วยว่ายังมีระบบอื่นๆ อีกหรือไม่ที่ควรจะนำมาจัดการเชื่อมต่อข้อมูลไปพร้อม ๆ กันเลย (เช่นด้านการขายและการตลาด เพราะทั้ง 2 เรื่องนี้มันเกี่ยวกับการกำหนดข้อมูลสินค้า การกำหนดรูปแบบราคา และการทำโปรโมชั่น) และเมื่อนำมาเชื่อมโยงกันแล้วจะมีผลกระทบต่อการทำงานระหว่าง Magento กับระบบงานเหล่านั้นหรือไม่
จากประสบการณ์ตรงของเราซึ่งคลุกคลีกับ Magento มาแล้วหลายโครงการ
เราได้พบทั้งข้อดีและข้อจำกัดของ Magento มากมาย ข้อดีบางเรื่องเรานำมาต่อยอดเพื่อสร้างเป็นจุดแข็งสำหรับลูกค้าได้ ส่วนข้อจำกัดที่เราพบบางอย่างเราก็สามารถปรับจูนด้วยเทคโนโลยีและการจัดสรรทรัพยากรระบบ การวางโครงสร้าง Infrastructure ให้เหมาะสมก็สามารถเพิ่มขีดความสามารถของเว็บอีคอมเมิร์ซได้ ต่อไปเราได้จำแนกเป็นข้อดี ข้อจำกัด และ ข้อควรระวัง ของ Magento เพื่อให้นักพัฒนาเว็บ eCommerce ด้วย Magento และคนที่กำลังจะตัดสินใจเลือก Magento ไปใช้เป็นแพลตฟอร์ม เผื่อจะได้มีไอเดียหรือแนวทางในการออกแบบและสร้างเว็บ eCommerce ด้วย Magento ให้เหมาะสมกับความต้องการของธุรกิจและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดครับตรงจุดนี้สามารถจัดการกับข้อจำกัดได้โดย
คำแนะนำ / ข้อควรระวัง ดังนี้
ความต้องการของระบบ จำนวน server ที่แนะนำ
ตรงจุดนี้สามารถจัดการกับข้อจำกัดได้โดย
คำแนะนำ / ข้อควรระวัง ดังนี้
ความต้องการของระบบ จำนวน server ที่แนะนำ
Frontend (VueStorefront)แพลตฟอร์มให้กับโครงการเว็บ eCommerce หลายๆ แห่งที่ผ่านมา ทำให้เราพบว่าไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวอะไรที่ทำครั้งเดียวแล้วเว็บจะต้องเจ๋งต้องปัง แต่ความพยายามในการเรียนรู้และปรับจูนของเหล่า developer จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้โครงการสร้างเว็บ eCommerce ของคุณจะประสบความสำเร็จได้ และหนึ่งในเรื่องที่คุณจำเป็นจะต้องคำนึงให้มาก ๆ คือความต้องการของ USER เพราะหากคุณวาดฝันไว้ว่าจะเติบโตในธุรกิจอีคอมเมิร์ซนี้แล้ว คุณจะต้องเตรียมแผนการลงทุนและแผนการขยายธุรกิจเผื่อไว้ล่วงหน้าเลย เพราะยิ่งระบบใหญ่ขึ้นเท่าใด ก็หมายถึงความต้องการของ USER ที่ยิ่งมากขึ้นและหลากหลายขึ้นด้วยเท่านั้น ดังนั้นการจะ Configue server และระบบให้ทำงานได้อย่างลื่นไหลและตอบโจทย์ USER ได้ครอบคลุมนั้น คุณจำเป็นจะต้องมีเครื่องมือในการ tracking พฤติกรรมของ USER ที่มีประสิทธิภาพด้วย นั่นเท่ากับว่าคุณจะต้องทุ่มเทเวลาและทรัพยากรต่าง ๆ เข้าไปในโครงการเพื่อที่จะได้ศึกษาและเรียนรู้พฤติกรรมของลูกค้าของคุณให้ลึกมากขึ้น ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณรู้ว่าควรจะปรับจูนระบบให้ตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้ครบทุกเรื่องได้อย่างไร
สุดท้าย ผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อนักพัฒนาที่กำลังจะสร้างเว็บ eCommerce ด้วย Magento ทุกคน รวมถึงคนที่ใช้ Magento เป็นแพลตฟอร์มของเว็บ eCommerce อยู่และกำลังต้องการแนวทางเพื่อนำไปปรับปรุงระบบให้มี Performance ที่ดีขึ้นและตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น