ในช่วงขวบปีที่ผ่านมา หากใครได้อ่านข่าวไอทีหรือข่าวธุรกิจผ่านตามาบ้างก็มักจะพบเจอกับคำว่า FinTech (ฟินเทค) บ่อยๆ คำนี้มาจากการรวมตัวของ Financial กับ Technology ซึ่งหากจะแปลกันแบบตรงๆ ตัวแล้วก็คงหมายถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับเรื่องการเงิน หรือการนำเอาเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจการเงินนั่นเอง จุดประสงค์หลักคือทำให้ธุรกรรมทางการเงินของทุกคนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เร็วขึ้น ง่ายขึ้น ประหยัดขึ้น จริงๆ กระแสคำว่าฟินเทคเกิดขึ้นมานานแล้ว และตอนนี้ก็กำลังเป็นกระแสที่หลายๆ หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนกำลังให้ความสนใจ เพราะเปรียบเสมือนเป็นการติดอาวุธให้กับธุรกิจในยุคดิจิทัลนั่นเอง
วันนี้คนส่วนใหญ่ต่างก็ทราบดีว่าเทคโนโลยี Blockchain นั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมายมหาศาลกับองค์กร ไม่ว่าจะเป็นองค์กรขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ ล้วนแล้วแต่สามารถนำเอาเทคโนโลยี Blockchain มาประยุกต์ใช้งานกับองค์กรได้ทั้งสิ้น
Blockchain มีข้อได้เปรียบที่สำคัญคือ เรื่องของความโปร่งใส ความปลอดภัย และความรวดเร็ว ทำให้หลายธุรกิจเลือกใช้เทคโนโลยีนี้เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นการรักษาพยาบาล กับการใช้บล็อกเชนเพื่อจัดการ บันทึกข้อมูลประวัติการรักษาของคนไข้ที่มีจำนวนมาก ในธุรกิจธนาคารใช้บล็อกเชนเพื่อยืนยันตัวตนแบบออนไลน์กับลูกค้าเวลาทำธุรกรรม จนถึงการใช้บล็อกเชนเพื่อวัดค่ามิเตอร์ไฟฟ้าเพื่อลดต้นทุนในการผลิตพลังงานได้
รูปภาพอธิบายถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain กับระบบ Supply Chain
จากที่เล่ามาทั้งหมดจะเห็นว่า Blockchain ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะแต่เรื่องเงินๆ ทองๆ นะครับ Blockchain สามารถประยุกต์ไปใช้งานได้ในหลายรูปแบบด้วย อีกตัวอย่างเช่น บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง โตโยต้า ญี่ปุ่น ได้มีการทดลองใช้เทคโนโลยี Blockchain กับการบริหาร Supply Chain ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตรวจสอบสถานะของชิ้นส่วนรถยนต์ตั้งแต่ตอนผลิต ออกจากโรงงานแล้วขนส่งข้ามประเทศ จนถึงมือของผู้บริโภค และช่วยในการเชื่อมต่อการสื่อสารระหว่างรถยนต์กับอุปกรณ์พกพาของผู้ขับขี่ และเซ็นเซอร์ตรวจจับของระบบโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมในเมืองหรือตามท้องถนน ทำให้การขับขี่หรือตรวจสอบเส้นทางทำได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
ทองคำ เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ ที่ราคาวิ่งสวนทางกับทิศทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ เมื่อเศรษฐกิจมีแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวลง ราคาทองคำกลับจะมีทิศทางเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่รักษามูลค่า และไม่เสื่อมสภาพ นักลงทุนจึงมองทองคำเสมือนเป็นหลักประกันในช่วงที่สินทรัพย์อื่นเผชิญความเสี่ยงสูงหรือมีแนวโน้มด้อยค่าลงในช่วงเศรษฐกิจขาลง
ดังนั้นการลงทุนในทองคำจึงเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมีตลาดรับซื้ออยู่ทุกวัน มีราคากลางกำหนดไว้ทั่วโลก จึงเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่หาซื้อได้ง่ายแถมยังขายคล่องอีกต่างหาก แต่ใช่ว่าการลงทุนในทองคำจะไม่มีความเสี่ยง สาเหตุหลักๆ ของความเสี่ยงของทองคำมาจากความผันผวนของค่าเงินบาทและราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงการเก็บรักษาให้ปลอดภัย
การออมทอง คือ การทยอยสะสมเงิน เพื่อซื้อทองคำแท่งที่มีบริสุทธิ์ 96.5% โดยเป็นการทยอยซื้อแบบถัวเฉลี่ยสะสม เน้นไปที่จำนวนเงินลงทุนเป็นหลัก ซึ่งนักลงทุน สามารถทยอยซื้อสะสมได้เป็นแบบรายวัน เมื่อสะสมได้ครบตามจำนวน นักลงทุนก็สามารถใช้แลกรับเป็นทองคำตามน้ำหนักที่ต้องการ ได้ทั้งในรูปแบบทองคำแท่ง และทองคำรูปพรรณ
โดยการออมทอง ด้วย Blockchain นี้ นักลงทุนสามารถเริ่มต้นออมทองคำด้วยเงินขั้นต่ำในราคาหลักร้อยบาทเท่านั้น การออมทอง จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสะสมทองคำจากเงินลงทุนเริ่มต้นเพียงเล็กน้อย หรือผู้ที่ไม่รู้จะว่าควรจะซื้อทองคำช่วงไหน จากความกังวลด้านการแกว่งตัวขึ้นและลงของราคาทองคำในตลาดโลก หรือนักลงทุนรุ่นใหม่ที่ต้องการสะสมทองคำในรูปแบบดิจิทัลที่สะดวกในการซื้อขาย และการเก็บรักษา รวมถึงการส่งต่อให้บุคคลอื่นได้ง่ายมากขึ้น หรือเมื่อต้องการใช้เงินเมื่อไรก็สามารถแบ่งกลับมาขายคืนบริษัทผู้ให้บริการหรือนำมาแลกเปลี่ยนเป็นทองคำแท่งหรือทองคำรูปพรรณก็ได้
ด้วยเทคโนโลยี Blockchain ที่ใช้ Smart Contract (สมาร์ทคอนแทรค) หรือสัญญาอัจฉริยะ ซึ่งเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กซึ่งถูกเก็บไว้ในรูปของบล็อกเชน Smart Contract จะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือในการกำหนดควบคุมกฎระเบียบระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายไว้ซึ่งมันจะช่วยอำนวยความสะดวกในเรื่องของการแลกเปลี่ยนข้อมูลเช่น เอกสารสำคัญ, การซื้อทองคำ, การโอนจ่ายชำระค่าทองคำ, การโอนทองคำให้แก่กันภายในระบบ และอีกมากมาย โดย Smart Contract นี้มีจุดประสงค์หลักคือ เพื่อตรวจสอบ, ยืนยัน, บังคับใช้หรือเซ็นสัญญาและข้อตกลงต่างๆ ผ่านระบบดิจิทัล
ข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายจะถูกแปลงเป็นรหัสคอมพิวเตอร์ จากนั้นการทำธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจะถูกบันทึกโดยอัตโนมัติ ในบล็อคเชน Smart Contract แต่ละอันจะมีหมายเลขที่อยู่เป็นของตัวเอง และเมื่อใดก็ตามที่ Smart Contract ถูกบันทึกในบล็อคเชน ใครก็ตามที่ทำข้อตกลง และมีสัญญาผูกไว้กับ Smart Contract นั้น ๆ จะสามารถเข้าถึงข้อมูล Smart Contract บล็อกนั้นได้ (คนอื่นที่ไม่มีความเกี่ยวข้องจะไม่เห็นข้อมูลของเรานะ ส่วนคนที่เกี่ยวข้องเองก็จะไปลบ แก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลในบล็อกนั้นไม่ได้เช่นกัน ตามคอนเซ็ปต์ ของ Blockchain เป๊ะๆ)
Smart Contract จำเป็นที่จะระบุถึงเหตุการณ์/จุดประสงค์พร้อมด้วยวันหมดอายุของสัญญาเพื่อให้ตัว Smart Contract ทำงานได้ด้วยตัวมันเองโดยพิจารณาจากข้อตกลงที่ถูกแปลงเป็นรหัส ซึ่งรหัสเหล่านี้จะระบุขั้นตอนต่างๆ โดยอาศัยหลักเหตุและผล เราสามารถอธิบายหลักเหตุและผลได้ว่า ถ้าคำสั่งชุดหนึ่งถูกส่งออกมาก็จะให้ผลในรูปแบบหนึ่ง โดย Smart Contract ก็จะทำงานไปเรื่อยๆ จนกว่าทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะยุติสัญญา เช่น เมื่อนักลงทุนต้องการสมัครเพื่อเป็นสมาชิกของระบบ จะต้องยื่นเอกสารให้ครบ โดย Smart Contract จะเริ่มทำงานเมื่อทุกอย่างผ่านการตรวจสอบและยืนยันข้อมูลแล้ว จากนั้นเมื่อนักลงทุนกดซื้อทองคำสะสม ระบบจะล็อคราคาที่ต้องการซื้อไว้ บริษัทผู้ให้บริการจะขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงราคาดังกล่าวไม่ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าผู้ซื้อจะต้องดำเนินการชำระเงินค่าทองคำให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด Smart Contract จึงจะบันทึกข้อมูลในบล็อกต่อไป
เมื่อ Smart Contract ถูกสร้างขึ้นแล้ว ผู้ซื้อและผู้ขายจำเป็นที่จะบรรลุจุดประสงค์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ตอนแรก ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ทำตามที่ระบุไว้ในสัญญาภายในระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ Blockchain จะคืนเงินไปให้อีกฝ่ายหนึ่ง เช่น หากผู้ซื้อระบุว่าต้องการซื้อทองคำแล้วไม่ชำระค่าทองคำตามเงื่อนไขเวลาและราคาที่ Smart Contract ระบุไว้ Blockchain ก็จะคืนทองคำกลับเข้าบริษัทผู้ให้บริการ ในทางกลับกันหากผู้ให้บริการไม่โอนทองคำตามจำนวนให้แก่ผู้ซื้อ Smart Contract จะดำเนินการคืนเงินให้แก่ผู้ซื้อ
ความที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลในบล็อกได้ ข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นเป็นบล็อกแล้วนั้นเราสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทั้งหมด นั่นเท่ากับว่าเราสามารถทราบแหล่งที่มาของทองคำที่เราถือครองอยู่ได้ทั้งหมด เช่น เราซื้อมาจากผู้ให้บริการเมื่อใด จำนวนเท่าใด โอนทองบางส่วนไปให้ใครบ้าง รับโอนทองจากใครมาบ้าง เพราะธุรกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นในระบบนี้จะถูกสร้างและเก็บไว้เป็นบล็อกๆ เรียงต่อกันไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เปรียบได้กับทรัพย์สินอาจถูกย่อยให้มีขนาดเล็กลง ถูกถ่ายโอนส่งต่อระหว่างบริษัทผู้ให้บริการไปยังนักลงทุนผู้หนึ่ง ก่อนจะถูกย่อยขนาดเพื่อแจกจ่ายไปยังสมาชิกนักลงทุนต่ออีกคนหนึ่ง หรือถูกมัดรวมให้มีขนาดใหญ่ขึ้นตามขนาดที่ต้องการเพื่อนำมาแลกรับทองคำแท่งหรือทองคำรูปพรรณ เมื่อทองคำถูกแลกรับยังบริษัทผู้ให้บริการแล้ว บล็อกของทองคำจำนวนดังกล่าวก็จะถูกถ่ายโอนกลับไปยังบริษัทผู้ให้บริการอีกทีเพื่อจำหน่ายจ่ายแจกตามจำนวนที่นักลงทุนเข้ามาซื้อขายต่อไป ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่มีวันหายไปไหน จึงทำให้ระบบนี้มีความปลอดภัยสูงมากด้วย
ที่ต้องการซื้อทองคำสะสมได้แบบทุกวันทุกเวลา
ที่ต้องการสะสมทองคำแบบยาวๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเก็บรักษา
ที่สนใจอยากซื้อทองคำและใช้เงินลงทุนไม่มาก ขั้นต่ำหลักร้อยกว่าบาท
ที่ต้องการโอนหรือส่งต่อทองบางส่วนไปให้บุคคลตามประสงค์ได้สะดวกแบบทุกวันทุกเวลา
ที่ต้องการความแม่นยำและปลอดภัยทั้งข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลการซื้อขายทองคำด้วยเทคโนโลยี Blockchain
หากผู้อ่านท่านใดสนใจอยากลงทุนในทองคำแบบใหม่ที่สะดวกและปลอดภัยกว่า หรือต้องการทดลองใช้งานระบบการออมทอง ด้วย Blockchain สามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์แม่ทองสุกบล็อกเชน www.mtsblockchain.com
ผู้อ่านท่านใดที่สนใจ ศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชนเพิ่มเติม สามารถติดตามอ่าน What is blockchain? บล็อกเชนคืออะไร จะนำไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ได้ครับ
และท่านใดสนใจต้องการปรึกษาเรื่องการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนไปใช้ในธุรกิจของท่าน เรามีบริการแบบครบวงจรตั้งแต่การให้คำปรึกษา การวางกลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลอันทันสมัย มีทีมนักวิเคราะห์ธุรกิจ นักออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่จะช่วยให้โครงการของคุณประสบความสำเร็จ
เพียงแค่คุณติดต่อหาเราที่ 0 2946 3700 ในวันและเวลาทำการ เรายินดีให้บริการทุกท่านเสมอ